5/5 – (2 votes)

ในสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย เครื่องปรับอากาศหรือแอร์บ้านกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้ แต่ วิธีเลือกซื้อแอร์บ้าน ที่ไม่เหมาะสมนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแล้ว ยังอาจไม่เย็นสบายเท่าที่ควร บทความนี้จะแนะนำวิธีเลือกซื้อแอร์บ้านให้ประหยัดไฟและเหมาะสมกับพื้นที่ พร้อมวิธีบำรุงรักษาและการล้างแอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้แอร์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

1. การเลือกซื้อแอร์บ้านให้ประหยัดไฟและเหมาะสมกับพื้นที่

การเลือกขนาด BTU (British Thermal Unit) ที่เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้า BTU น้อยเกินไป แอร์จะทำงานหนักตลอดเวลา ทำให้กินไฟและไม่เย็นฉ่ำ แต่ถ้า BTU มากเกินไป แอร์จะตัดการทำงานบ่อย ทำให้ห้องไม่แห้งสนิทและสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือก BTU:

  • ขนาดห้อง (ตารางเมตร): นี่คือปัจจัยหลักในการคำนวณ BTU โดยทั่วไป 1 ตารางเมตร ต้องการประมาณ 600-800 BTU
  • ทิศทางของห้อง: ห้องที่โดนแดดจัดหรือเป็นทิศตะวันตก ควรเพิ่ม BTU เล็กน้อย
  • จำนวนคนในห้อง: ยิ่งคนเยอะ ยิ่งมีความร้อนสะสมมาก ควรเพิ่ม BTU
  • จำนวนและประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้อง: เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เช่น คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น โทรทัศน์ ก็เป็นแหล่งความร้อนที่ต้องพิจารณา
  • ความสูงเพดาน: ห้องที่มีเพดานสูงกว่าปกติ (เช่น สูงเกิน 2.8 เมตร) อาจต้องการ BTU เพิ่มขึ้น
  • วัสดุผนังและฉนวนกันความร้อน: ห้องที่มีผนังกระจกเยอะ หรือไม่มีฉนวนกันความร้อน จะต้องใช้ BTU เพิ่มขึ้น

ตารางคำนวณ BTU โดยประมาณ:

ขนาดห้อง (ตารางเมตร)BTU โดยประมาณ (ห้องปกติ)
9 – 139,000
14 – 2012,000
20 – 2518,000
25 – 3024,000
30 – 4030,000

ส่งออกไปยังชีต

เทคโนโลยีประหยัดไฟที่ควรพิจารณา:

  • ระบบ Inverter: เป็นเทคโนโลยีที่ควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้ปรับรอบการทำงานตามอุณหภูมิห้อง ทำให้แอร์ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและคงที่ ประหยัดไฟได้มากกว่าแอร์ระบบ Non-Inverter ถึง 30-50%
  • ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5: เลือกซื้อแอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่การันตีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน ยิ่งดาวเยอะยิ่งประหยัดไฟมากขึ้น (เช่น เบอร์ 5 แบบ 3 ดาว)
  • ฟังก์ชันประหยัดพลังงานอื่นๆ: แอร์สมัยใหม่มักมีฟังก์ชันเสริมที่ช่วยประหยัดไฟ เช่น โหมด Sleep, โหมด Eco, เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Human Sensor)

2. วิธีบำรุงรักษาแอร์บ้านให้มีประสิทธิภาพ

ล้างแอร์บ้านบางกรวย

การบำรุงรักษาแอร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ประหยัดพลังงาน และช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม: อุณหภูมิที่แนะนำคือ 25-27 องศาเซลเซียส การปรับลดอุณหภูมิลง 1 องศา จะเพิ่มการใช้พลังงานประมาณ 10%
  • ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปิดประตูและหน้าต่างสนิททุกครั้งที่เปิดแอร์ เพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้อง
  • ไม่นำสิ่งของมาขวางทางลม: ตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางทางลมเข้า-ออกของคอยล์เย็น (ตัวแอร์ภายในห้อง)
  • ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ: ควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 2-4 สัปดาห์ หรือบ่อยกว่านั้นหากมีการใช้งานหนัก เพราะแผ่นกรองที่สกปรกจะขัดขวางการไหลเวียนของอากาศ ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและเปลืองไฟ
  • ล้างแอร์ใหญ่ (ล้างเคมี) โดยช่างผู้ชำนาญ: ควรเรียกช่างผู้ชำนาญมาล้างแอร์ใหญ่ทุก 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อทำความสะอาดคอยล์เย็น คอยล์ร้อน และตรวจสอบน้ำยาแอร์

3. วิธีล้างแอร์ด้วยตัวเอง (การล้างแผ่นกรองอากาศ)

การล้างแผ่นกรองอากาศเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และควรทำเป็นประจำเพื่อสุขอนามัยที่ดีและการประหยัดพลังงาน

อุปกรณ์ที่ต้องใช้:

  • ผ้าสะอาด
  • แปรงสีฟันเก่า (สำหรับขัดคราบฝังแน่น)
  • เครื่องดูดฝุ่น (ถ้ามี)
  • น้ำเปล่าผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อย (ไม่จำเป็นถ้าฝุ่นไม่เยอะ)

ขั้นตอนการล้างแผ่นกรองอากาศ:

  1. ปิดเบรกเกอร์แอร์: สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัย ควรปิดเบรกเกอร์ของแอร์ก่อนเริ่มทำความสะอาดทุกครั้ง
  2. เปิดหน้ากากแอร์: ค่อยๆ เปิดหน้ากากแอร์ด้านหน้าขึ้น (ในแอร์บางรุ่นอาจจะต้องงัดสลักเล็กน้อย)
  3. ถอดแผ่นกรองอากาศออก: เมื่อเปิดหน้ากากแอร์แล้วจะเห็นแผ่นกรองอากาศเป็นแผ่นตาข่ายบางๆ 2 แผ่น ค่อยๆ ดึงออกมา
  4. ทำความสะอาดแผ่นกรอง:
    • วิธีที่ 1 (ฝุ่นไม่เยอะ): ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผ่นกรองออก หรือใช้แปรงปัดฝุ่นเบาๆ
    • วิธีที่ 2 (ฝุ่นเยอะ/มีคราบ): นำแผ่นกรองไปล้างด้วยน้ำเปล่า อาจผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อย (เฉพาะกรณีที่สกปรกมาก) ใช้มือหรือแปรงสีฟันเก่าขัดเบาๆ ให้ทั่ว ระวังอย่าขัดแรงเกินไปจนแผ่นกรองเสียหาย
  5. ผึ่งให้แห้งสนิท: หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว นำแผ่นกรองไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท ไม่ควรนำไปตากแดดจัดเพราะอาจทำให้แผ่นกรองเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  6. ใส่แผ่นกรองกลับเข้าที่: เมื่อแผ่นกรองแห้งสนิทแล้ว ใส่กลับเข้าที่เดิม โดยใส่ให้ถูกด้านและเข้าล็อก
  7. ปิดหน้ากากแอร์: ปิดหน้ากากแอร์ให้สนิท
  8. เปิดเบรกเกอร์แอร์: เปิดเบรกเกอร์แอร์กลับเข้าที่ และทดลองเปิดใช้งานแอร์

ข้อควรระวังในการล้างแอร์ด้วยตัวเอง (นอกเหนือจากแผ่นกรอง):

การล้างแอร์ส่วนอื่นๆ เช่น คอยล์เย็น คอยล์ร้อน หรือพัดลม ควรให้ช่างผู้ชำนาญเป็นผู้ดำเนินการ เพราะต้องใช้ความรู้ความเข้าใจเรื่องวงจรไฟฟ้า น้ำยาแอร์ และการใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง หากทำไม่ถูกวิธีอาจทำให้แอร์เสียหาย หรือเกิดอันตรายได้

บทสรุป

การเลือกซื้อแอร์บ้านที่เหมาะสมกับพื้นที่และมีเทคโนโลยีประหยัดไฟ รวมถึงการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศด้วยตัวเองและการเรียกช่างมาล้างใหญ่ จะช่วยให้คุณได้รับความเย็นสบายอย่างเต็มที่ ประหยัดค่าไฟในระยะยาว และยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศคู่ใจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

บทความโดย:thaihomefix


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *