บทความนี้ไทยโฮมฟิกจะบอกเคร็ดลับ วิธีตรวจรับบ้านใหม่ กัน! การตรวจรับบ้านใหม่จากผู้รับเหมา เป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณในฐานะเจ้าของบ้านไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้ตรวจสอบความเรียบร้อยและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ก่อนการส่งมอบงานอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ได้บ้านที่สมบูรณ์แบบและไร้ปัญหาตามที่คาดหวัง บทความนี้จะแนะนำวิธีตรวจรับบ้านอย่างละเอียด รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากส่งมอบงานไปแล้ว
เตรียมตัวก่อนวันตรวจรับ

ก่อนถึงวันตรวจรับจริง คุณควรเตรียมความพร้อมเพื่อการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ:
- เอกสาร: เตรียมสัญญาว่าจ้าง, แบบแปลนบ้าน, รายการวัสดุที่ระบุในสัญญา และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- อุปกรณ์: เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เทปวัดระยะ, ระดับน้ำ, ไฟฉาย (สำหรับจุดอับแสง), ปากกา, สมุดจดบันทึก, กล้องถ่ายรูป (สำหรับบันทึกภาพตำหนิ), ที่ชาร์จแบตเตอรี่, ไขควงลองไฟ (tester), และลูกแก้ว (สำหรับทดสอบความลาดเอียงของพื้น)
- ความรู้: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานงานก่อสร้างเบื้องต้น เช่น มาตรฐานการติดตั้งสุขภัณฑ์, ระบบไฟฟ้า, หรือโครงสร้าง เพื่อให้เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง
- ผู้ช่วย: หากเป็นไปได้ ควรพาผู้ที่มีความรู้ด้านการก่อสร้าง หรือผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบ เพื่อความรอบคอบยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการตรวจรับบ้านอย่างละเอียด

แบ่งการตรวจสอบออกเป็นส่วนๆ เพื่อความครอบคลุม:
1. งานโครงสร้างบ้านและภายนอก
- โครงสร้าง: ตรวจสอบรอยแตกร้าวตามเสา คาน ผนัง ว่ามีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่หรือไม่ (รอยแตกลายงาเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องปกติ)
- หลังคา: ตรวจสอบกระเบื้องหลังคาว่ามีการติดตั้งที่เรียบร้อย ไม่มีรอยแตก หรือแผ่นกระเบื้องหลุดล่อน และไม่มีน้ำรั่วซึม (ควรตรวจในช่วงฝนตกหรือใช้วิธีฉีดน้ำ)
- ผนังภายนอก: ตรวจสอบการทาสีภายนอกว่าสม่ำเสมอ ไม่มีรอยด่าง หรือสีลอกล่อน
- รั้ว/กำแพง: ตรวจสอบความแข็งแรงของรั้วและกำแพงรอบบ้าน
- พื้นรอบบ้าน: ตรวจสอบระดับพื้นรอบบ้านให้มีความลาดเอียงที่เหมาะสม เพื่อระบายน้ำฝน ไม่ให้มีน้ำขัง
2. งานระบบไฟฟ้าและประปา
- ระบบไฟฟ้า:
- ปลั๊กไฟ: ตรวจสอบการทำงานของปลั๊กไฟทุกจุด โดยใช้ที่ชาร์จแบตเตอรี่เสียบดูว่ามีไฟเข้าหรือไม่
- สวิตช์ไฟ: เปิด-ปิดไฟทุกดวงในบ้าน ตรวจสอบว่าหลอดไฟติดครบทุกดวง และสวิตช์ทำงานปกติ
- เบรกเกอร์: ตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้า (Consumer Unit) ว่ามีการจัดระเบียบสายไฟเรียบร้อย และเบรกเกอร์ทำงานได้ปกติ
- ระบบประปา:
- ก๊อกน้ำ: เปิดก๊อกน้ำทุกจุดเพื่อตรวจสอบแรงดันน้ำ การไหลของน้ำ และการรั่วซึม
- สุขภัณฑ์: กดชักโครกทุกอัน ตรวจสอบการทำงานของระบบชำระล้าง และการรั่วซึม
- ท่อระบายน้ำ: ทดสอบการระบายน้ำของอ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน ท่อระบายน้ำในห้องน้ำ ว่าระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำขัง
- มาตรวัดน้ำ: ตรวจสอบการหมุนของมาตรวัดน้ำเมื่อไม่มีการใช้น้ำ เพื่อดูว่ามีการรั่วซึมภายในท่อหรือไม่ (ถ้ามาตรวัดหมุน แสดงว่ามีจุดรั่วซึม)

3. งานตกแต่งภายใน
- ผนัง: ตรวจสอบการทาสีผนังภายในให้เรียบร้อย สม่ำเสมอ ไม่มีรอยด่าง, ฟองอากาศ หรือสีลอกล่อน
- พื้น: ตรวจสอบพื้นกระเบื้อง, ลามิเนต, หรือปาร์เกต์ ว่ามีการปูเรียบร้อยเสมอกัน ไม่มีรอยแตก, รอยบิ่น, หรือรอยขูดขีด ใช้ลูกแก้วกลิ้งเพื่อตรวจสอบความลาดเอียงของพื้นในห้องน้ำ
- ประตูและหน้าต่าง:
- การเปิด-ปิด: ทดสอบการเปิด-ปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน ว่าสามารถทำได้ง่าย ไม่มีอาการติดขัด
- กลอน/ลูกบิด: ตรวจสอบการทำงานของกลอนประตูและลูกบิด ว่าล็อกได้สนิทและใช้งานได้จริง
- วงกบ: ตรวจสอบรอยต่อของวงกบประตูและหน้าต่างกับผนัง ว่ายาแนวเรียบร้อย ไม่มีรอยรั่ว
- กระจก: ตรวจสอบกระจกทุกบานว่าไม่มีรอยแตก, รอยร้าว, หรือรอยขีดข่วน
- ฝ้าเพดาน: ตรวจสอบฝ้าเพดานว่าเรียบเสมอกัน ไม่มีรอยด่าง, รอยน้ำ, หรือรอยแตกร้าว
- บันได (ถ้ามี): ตรวจสอบความแข็งแรงของบันได ขั้นบันได และราวบันได
- ตู้เก็บของ/บิ้วอิน (ถ้ามี): ตรวจสอบการติดตั้งบิ้วอินต่างๆ ว่าแข็งแรง สวยงาม และเปิด-ปิดได้ปกติ
การจดบันทึกและถ่ายภาพ

ในระหว่างการตรวจสอบ ให้ จดบันทึกตำหนิและข้อบกพร่องทุกจุดอย่างละเอียด พร้อมทั้ง ถ่ายภาพหรือวิดีโอ ประกอบ เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งผู้รับเหมาแก้ไข โดยระบุตำแหน่งของตำหนิให้ชัดเจน
การส่งมอบงานและแก้ไขข้อบกพร่อง
เมื่อตรวจพบข้อบกพร่อง ให้ทำรายการแจ้งผู้รับเหมาเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุรายละเอียดของปัญหาและกำหนดระยะเวลาในการแก้ไข เมื่อผู้รับเหมาดำเนินการแก้ไขแล้ว คุณควรกลับไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อบกพร่องได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์

วิธีแก้ปัญหาหลังจากส่งมอบงานจบแล้ว
แม้ว่าคุณจะตรวจรับบ้านอย่างละเอียดแล้ว แต่บางครั้งปัญหาอาจเกิดขึ้นหลังจากส่งมอบงานไปแล้ว โดยเฉพาะปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการแสดงออก เช่น การรั่วซึม หรือโครงสร้างต่างๆ หากเกิดปัญหานี้ขึ้น มีแนวทางแก้ไขดังนี้:
1. ตรวจสอบระยะเวลารับประกัน
สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตรวจสอบระยะเวลารับประกัน ที่ระบุในสัญญาว่าจ้างกับผู้รับเหมา โดยทั่วไปแล้ว งานโครงสร้างมักมีการรับประกันที่ยาวนานกว่างานระบบหรืองานตกแต่ง (เช่น งานโครงสร้าง 5-10 ปี, งานระบบ 1-2 ปี)
2. ติดต่อผู้รับเหมาทันที
เมื่อพบปัญหา ให้ ติดต่อผู้รับเหมาทันที ที่พบข้อบกพร่อง แจ้งรายละเอียดของปัญหา รูปภาพประกอบ และอ้างอิงถึงข้อตกลงในการรับประกันในสัญญา ขอให้ผู้รับเหมาเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขตามสัญญา
3. เก็บหลักฐานและเอกสาร
เก็บรวบรวมหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น
- ภาพถ่าย/วิดีโอของปัญหา
- บันทึกการสนทนากับผู้รับเหมา
- สำเนาสัญญาว่าจ้าง
- รายการแจ้งข้อบกพร่องที่เคยส่งให้ผู้รับเหมา (หากมี)
4. ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย (หากจำเป็น)

หากผู้รับเหมาไม่รับผิดชอบ หรือบ่ายเบี่ยงการแก้ไขปัญหา คุณอาจต้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย:
- เจรจาไกล่เกลี่ย: ลองเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้รับเหมาอีกครั้ง โดยอาจมีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยเป็นตัวกลาง
- ปรึกษาทนายความ: หากการเจรจาไม่เป็นผล ควรปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการก่อสร้าง เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์และแนวทางในการฟ้องร้อง
- ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: คุณสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือสภาวิศวกร/สภาสถาปนิก (หากปัญหาเกี่ยวข้องกับมาตรฐานวิชาชีพ) เพื่อขอความช่วยเหลือ
ข้อควรจำ
- ใจเย็นและมีเหตุผล: การสื่อสารด้วยเหตุผลและข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้ปัญหาคลี่คลายได้ง่ายขึ้น
- ทำทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร: การติดต่อสื่อสารทุกครั้งกับผู้รับเหมา ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมล หรือข้อความ เพื่อเป็นหลักฐาน
- อย่าชำระเงินงวดสุดท้ายจนกว่างานจะเรียบร้อย: หากเป็นไปได้ ควรเก็บเงินงวดสุดท้ายไว้จนกว่าจะมีการตรวจรับงานอย่างสมบูรณ์ และแก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดแล้ว
การตรวจรับบ้านและการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการมีบ้านที่สมบูรณ์แบบ ขอให้คุณโชคดีกับการตรวจรับบ้านใหม่ครับ!
บทความโดย:thaihomefix

ใส่ความเห็น